ภาวะแท้งคุกคาม 23w1d แต่ยังสามารถตั้งครรภ์ต่อได้
#ประสบการณ์ต้องเผชิญกับภาวะแท้งก่อนกำหนดในวัยตั้งครรภ์ 23 สัปดาห์ 1 วัน #เป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นโดยที่เราเองไม่คาดคิดมาก่อน ลูกน้อยมีความเสี่ยงในการรอดชีวิตต่ำกว่า 50% เนื่องจากเรามีอาการปวดบิดท้องน้อยตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 24 กันยายน มีอาการท้องแข็งและตึงแต่ไม่มีเลือดออกในช่องคลอด แค่รู้สึกปวดท้องหน่วงๆ จนเริ่มปวดมากขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ นอนพักก็ไม่หาย ประมาณ 4 โมงเย็น จึงตัดสินใจโทรไปปรึกษาที่โรงพยาบาล นางพยาบาลแนะนำว่าถ้าไม่สบายใจกับอาการที่เกิดขึ้นให้มาที่โรงพยาบาลได้เลย เลยนอนดูอาการที่บ้านแต่ก็ไม่ดีขึ้น กว่าเราจะตัดสินใจไปหาหมอก็เป็นเวลา 3 ทุ่มแล้ว เราเข้าไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลหมอสอบถามอาการเบื่องต้น และหมอลองเอามือกดหน้าท้องเราดูแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หมอจึงสันนิษฐานฐานว่าเราอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร จึงสั่งฉีดยาลดกรดเข้าทางเส้นเลือดและรอดูอาการภายใน 30 นาที เมื่อผ่านไป 30 นาทีอาการเราไม่ดีขึ้น ยังปวดท้องบิดในอัตราความถี่ ปวดบิด 1 นาที ผ่อนปวด 2 นาที เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ คุณหมอแผนกฉุกเฉินจึงให้แพทย์เฉพาะทางแผนกสูตินรีเวชมาตรวจเพิ่มเติม คุณหมอเริ่มตรวจโดยการจับที่หน้าท้องเรา+จับเวลาที่ท้องเราแข็งว่ามีความถี่เท่าไหร่ พร้อมทั้งตรวจภายในเพื่อดูการเปิดของปากมดลูก ผลสรุปคือปากมดลูกเรายังไม่เปิด น้ำคร่ำยังไม่เดิน หมอไม่พบสาเหตุอาการปวดท้องจึงตัดสินใจให้เรากลับไปนอนพักที่บ้านเพื่อดูอาการโดยห้ามเดินและห้ามลุกจากเตียง ถ้าปวดท้องให้กินยาพาราฯเพื่อบรรเทาความปวด โดยช่วงที่เรากลับมานอนที่บ้านอาการเราไม่ดีขึ้นเลย กลางคืนนอนปวดท้องมาก เช้าวันที่ 25 กันยายน เวลา 6 โมงเช้า อาการปวดหน่วงเรายังไม่ดีขึ้น คือเราแทบจะเดินลุกจากเตียงไม่ได้เลย จึงตัดสินใจโทรไปที่โรงพยาบาลแล้วไปหาหมออีกครั้งรอบนี้มีหมอผู้เชี่ยวชาญมาตรวจและพบว่าท้องเราตึงและมีการแข็งตัวจริง พร้อมกับตรวจภายในเพื่อดูการเปิดของปากมดลูก สรุปคือเรามีภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หมอจึงตัดสินใจส่งตัวเราไปที่แผนกสูตินรีเวชเพื่อดูอาการอย่างเร่งด่วนต่อไป เราแอดมิดอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันที่ 25 กันยายน ถึงวันที่ 27 กันยายน 2562 และออกจาก รพ.มาวันที่ 27 ช่วง 15.30 น. สาเหตุเนื่องจากเรามีภาวะแท้งคุกคาม มันเกิดขึ้นเร็วโดยที่ตัวเราเองก็ไม่คาดคิดและไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด รู้แค่ว่าทุกสาเหตุสามารถทำให้เกิดการแท้งก่อนกำหนดได้หมด ตอนนี้สิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าเดินเยอะ อย่าเดินเร็ว อย่าขึ้นลงบรรใดบ่อย อย่านั่งรถที่มันทำให้เกิดการสะเทือน บลาๆ เกริ่นก่อนว่า >> โดยทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ (ไม่ขอเอ่ยนาม) มีการคัดกรองการเกิดของทารกอยู่ที่ระหว่าง 24 สัปดาห์ขึ้นไปประมาณ 6 เดือนในครรภ์(ถือว่าเด็กมีชีวิต) บางโรงพยาบาลตัดที่ 28 สัปดาห์(7เดือนในครรภ์) หากเด็กเกิดมาตามเกณฑ์ที่โรงพยาบาลกำหนด หมอจะช่วยสุดความสามารถ แต่ถ้าหากเด็กเกิดก่อนเกณฑ์ที่ทางโรงพยาบาลกำหนดจะถือว่า ''แท้ง''โดยสมบูรณ์ ในเคสของเราตั้งครรภ์ 23 สัปดาห์ 1 วัน อีก 6 วันเท่านั้นถึงจะเข้าเกณฑ์การตัดสินของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง 23 กำลังจะเข้าสู่สัปดาห์ที่ 24 คุณหมอจึงประชุมกันในแผนกสูตินารีเวชกับแผนกคุณหมอเด็กอ่อน เพื่อวางแผนกับเคสของเราเอง ผลสรุปออกมาว่า... 1.คุณหมอจะให้ยากระตุ้นการยับยั้งการแท้ง+กับฉีดยากระตุ้นปอดลูก >>หลังจากที่หมอให้ยากระตุ้นการหยุดแท้งลูกแล้ว ถ้ายากระตุ้นไม่ได้ผล ลูกเกิดคลอดก่อนกำหนดหมอให้สองทางเลือกคือ ทางเลือกที่ 1.)ถ้าเราต้องการลูกน้อยและเก็บเค้าไว้ ลูกต้องเจริญเติบโตในตู้อบ โดยที่ร่างกายของลูกจะมีความผิดปกติกว่าเด็กอื่นเกิน 70 %ในเรื่องของ 1.1) สมองลูกพัฒนาช้ากว่าเด็กทั่วไป 1.2) มีปัญหาด้านแก้วหูผิดปกติ (หูอาจไม่ได้ยิน) 1.3) เส้นประสาทตาอาจมีความความผิดปกติ(มีปัญหาด้านสายตา) 1.4) ปอดมีปัญหา เกิดเป็นโรคในอนาคต ทางเลือกที่ 2.) คือปล่อยให้ลูกหลับให้สบายไปตามภาวะที่เค้าควรจะเป็น ตอนนั้นหมอให้ยากระตุ้นหยุดการแท้ง 2 โดส โดสละ 4 เม็ด ทุกๆ 15 นาที)(อาการข้างเคียงสำหรับเราคือใจสั่น ไข้ขึ้น)+ฉีดยากระตุ้นปอดให้ลูก 4 เข็ม ทุกๆ 12 ชั่วโมงโดยที่ตัวเราห้ามลุกจากเตียงเด็ดขาด หมอไม่ได้พูดถึงว่า ถ้ายาได้ผลหละ เราจะยังสามารถตั้งครรภ์ต่อได้ใช่มั้ย หรือยังไง อย่างที่บอกว่าเปอร์เซนต์การรอดชีวิตหลังจากที่ให้ยากระตุ้นไปนั้นน้อยมาก เพราะปากมดลูกชั้นในเราเริ่มเปิดออกแล้วแต่ยังน้อยมาก ตอนนั้นเราได้แต่อดทนและภาวนาขอให้ลูกอยู่กับเราและขอให้ยาได้ผลและให้ลูกปลอดภัยด้วย หากหลีกเลี่ยงการคลอดก่อนกำหนดไม่ได้ เราและสามีเลือกที่จะเก็บลูกไว้ โดยดูอัตราการทำงานของปอดลูกเป็นหลักว่าลูกคลอดแล้วสามารถหายใจเองได้หรือไม่ ถ้าลูกหายใจเองไม่ได้เราเองคงต้องตัดใจเพื่อความสมบูรณ์ทางร่างกายของลูกให้มากที่สุดไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกเกิดมาแล้วมีความผิดปกติ ❤️ สุดท้ายมันก็คุ้มค่ากับการอดทนเพราะยาที่หมอให้ได้ผล มดลูกเราคลายการบีบตัว ท้องยังตึงและแข็งแต่ห่างปวดไม่ถี่ หมอเลยให้กลับบ้านมาดูอาการต่อที่บ้านและสั่งห้ามเดินและลุกจากเตียง เดินได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทุกย่างก้าวของแม่ท้องมีความสำคัญกับลูกน้อยมาก คอยหมั่นสังเกตุร่างกายตัวเองอยู่บ่อยๆ ❤️ ตอนนี้ลูกเราปลอดภัยแต่ยังไม่เต็มร้อย และแม่กับพ่อยังต้องสู้ต่อไปด้วยกัน..✌? #ขอให้เราได้เจอกันในวันที่ครบกำหนดคลอดนะลูก #แม่กับพ่อรักลูกนะ
Đọc thêm